Uncategorized

ต้องบอกเลยว่าตลาดรถยนต์มือสองในปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากไม่แพ้รถยนต์มือหนึ่งเลย เพราะรถมือสองในตลาดรถยนต์เกือบ 90% ยังเป็นรถยนต์ที่มีสภาพดี และผ่านการใช้งานมาน้อยแถมยังเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ด้วย หลาย ๆ คนจึงมองว่ารถมือสองคุ้มค่ากว่ารถมือหนึ่ง ซึ่งในตลาดรถยนต์ก็มีผู้จำหน่ายทั้งแบบเต็นท์รถ และขายเอง ข้อดีข้อเสียก็จะแตกต่างกันไป แต่ในบทความนี้เราจะพามาดูกันก่อนว่า ก่อนจะซื้อรถมือสองทั้งทีต้องดูที่อะไรบ้าง สำหรับมือใหม่ ลักษณะของรถยนต์มือสองแบบไหนที่คุณไม่ควรซื้อ รถยนต์ที่ปีผลิตใหม่ๆแต่เลขไมล์สูง เพราะอาจไม่คุ้มค่าคุ้มราคาไม่คุ้มการใช้งานหากจะนำมาใช้ต่อ รถยนต์ที่ผ่านการดัดแปลง ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ารถยนต์ที่ผ่านการดัดแปลงมาแล้วไม่ดี แต่ในบางกรณีรถยนต์ที่ผ่านการดัดแปลงอาจเป็นเพราะเพื่อปกปิดร่องรอยการชนหรือความเสียหาย ทั้งนี้ผู้ซื้อควรตรวจสอบดีๆก่อนซื้อ รถที่ผ่านการติดแก๊ส เพราะในการติดแก๊สจะทำให้เครื่องยนต์เกิดความเสื่อมสภาพซึ่งมีผลต่ออายุการใช้งานของรถและสมรรถนะในการขับขี่ด้วย รถหลุดจำนำ รถยนต์ที่เคยชนมาหนัก หรือรถยนต์ที่เคยจมน้ำ แน่นอนว่าระบบภายในอาจไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน รวมถึงระบบความปลอดภัยที่อาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ เลือกรถมือสองอย่างไรให้ปลอดภัย 1.ตรวจสอบเอกสารของรถยนต์ว่ามีครบถ้วนและถูกต้องหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นคู่มือรถยนต์ เอกสารรายละเอียดการจดทะเบียนของรถยนต์ เพราะระวังการสวมทะเบียนเจอเล่มปลอม ที่สำคัญคือการตรวจสอบว่ารถยนต์ได้เสียภาษีทุกปีหรือไม่ รวมไปถึงการเช็คประวัติของรถยนต์ด้วยว่าถูกดัดแปลงอะไรมาบ้างแล้วหรือไม่ 2.เช็คสภาพความสมบูรณ์แบบทั้งภายนอกและภายในครับ เริ่มที่ภายนอกก่อนว่ารอบคันมีร่องรอยหรือจุดบกพร่องที่ตรงไหนบ้างก็เหมือนกับการซื้อของโดยทั่วไป ดูสีรถว่าผิดปกติไหมเพราะในบางคันชนมาแล้วเจ้าของพยายามเก็บร่องรอยโดยไม่แจ้งว่ารถถูกชนมา ต่อที่เช็คสภาพภายในว่าเบาะเป็นอย่างไร ขาดไหม ยังดีอยู่ไหม เข็มขัดนิรภัยต้องใช้งานได้ปกติด้วย 3.เช็คระบบภายใน ข้อนี้สำคัญมาก เพราะหัวใจหลักของรถคือเครื่องยนต์ อาจต้องพึ่งพาคนที่มีประสบการณ์เรื่องรถมาช่วยดู เพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างที่จะละเอียดอ่อน เช็ควันเดือนปีของรถ เลขไมล์ ให้ครบถ้วน 4.การทดลองขับ นี่เป็นวิธีที่จะช่วยให้ตัดสินใจง่ายที่สุด เพราะเราจะรู้เลยว่ารถยนต์เป็นอย่างไร […]

จบ ครบได้ในที่เดียวกับศูนย์ซ่อมสีตัวถังมาตรฐาน พร้อมให้บริการรถยนต์นำเข้าทุกประเภท รับงานซ่อมสีตัวถังทุกประเภท ซ่อมสีภายใน 24 ชั่วโมง (*ซ่อมสีเฉพาะจุด โดยการประเมินงานก่อนการรับซ่อม) ประกันในเครือ พร้อมเคลมให้ทันที รับทุกประกันภัย รับประกันงานสี 1 ปี พร้อมบริการรับส่งรถให้ถึงที่.ศูนย์ซ่อมสี ครอบคลุมทั้ง 3 สาขา– สาขาศรีนครินทร์– สาขารามคำแหง– สาขาแจ้งวัฒนะ.สอบถามรายละเอียดและนัดหมายเข้ารับบริการ : 094-484-3977.ติดตามข่าวสารด้านการดูแลรถยนต์และอะไหล่ต่างๆ (คลิก)——————————• BRG GROUP •ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์นำเข้าระดับพรีเมี่ยมอันดับ 1 ในประเทศไทย พร้อมโชว์รูมและศูนย์บริการ One Stop Service ทั้ง 3 สาขา และมั่นคงด้วยชื่อเสียงที่มีมานานที่สุดในประเทศไทยกว่า 40 ปี.สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Tel : 088-377-6992 Website : www.brg.co.th Line : @brggroup (มี@ข้างหน้า)หรือกดลิงก์ https://pixelfy.me/BRG-group Instagram : brg_group Youtube : Brggroup Channel

การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ การชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge)เป็นการชาร์จไฟฟ้าจากเต้ารับโดยตรง โดยขนาดมิเตอร์ขั้นต่ำ คือ 30(100)A ที่สำคัญการที่จะชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั้น จะต้องติดเต้ารับใหม่ โดยใช้ไฟบ้านเป็นกระแสสลับ (AC) ระยะเวลาในการชาร์จประมาณ 12-16 ชม. การชาร์จแบบรวดเร็ว (Double Speed Charge)เป็นการชาร์จจากเครื่อง EV Charger เครื่องนี้จะเป็นเครื่องชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) จุดเด่นของเครื่องนี้คือ สามารถชาร์จพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่รถยนต์ให้เต็มไวขึ้น เหลือเวลาชาร์จประมาณ 6-8 ชม. การชาร์จแบบด่วน (Quick Charge)เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) ที่จะส่งกระแสไฟเข้าแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ในเวลาเพียง 40-60 นาที แต่การชาร์จแบบนี้มีข้อเสียอยู่เช่นกัน เพราะการชาร์จแบบด่วนนั้นจะทำให้ตัวแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น โดยเรามักจะใช้การชาร์จแบบนี้ที่ตู้ชาร์จนอกบ้าน เช่น ตามห้างสรรพสินค้า เป็นต้น หัวชาร์จสำหรับไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) Type 1 รองรับระบบไฟแบบ 1 เฟส รองรับกระแสไฟฟ้าได้ 32A (7.4

จากสถานการณ์ปัจจุบัน ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัย ทั้งสภาวะเศรษฐกิจถดถอยและความขัดแย้งของแต่ละประเทศ อ้างอิงข้อมูลจากวันที่ 5 มีนาคม 2565 ราคาน้ำมันดีเซลทั้งหมด ได้แก่ ดีเซลพรีเมียม B7 ราคาอยู่ที่ 35.96 บาท/ลิตร ดีเซลB7 ราคาอยู่ที่ 29.94 บาท/ลิตร ดีเซล ราคาอยู่ที่ 29.94 บาท/ลิตร และดีเซลB20 ราคาอยู่ที่ 29.94 บาท/ลิตร ส่วนราคาเบนซิน ราคาอยู่ที่ 45.16 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 ราคาอยู่ที่ 37.75 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 ราคาอยู่ที่ 37.48 บาท/ลิตร E20 ราคาอยู่ที่ 34.64 บาท/ลิตร และ E85 ราคาอยู่ที่ 29.94 บาท/ลิตร ด้วยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รถ Electric Vehicle หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดรถยนต์มากยิ่งขึ้น

ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าในยุคสมัยนี้รถยนต์ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการดำรงชีวิตที่ช่วยให้กิจวัตรประจำวันของคนเราสะดวกสบายยิ่งขึ้น การใช้รถยนต์ส่วนตัวช่วยให้ง่าย และประหยัดเวลาในบางครั้ง โดยส่วนใหญ่ปัจจัยในการซื้อรถยนต์มักจะเป็นเพื่อเดินทางไปทำงาน และครอบครัวที่มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนสมาชิก แน่นอนว่าทางเลือกของผู้บริโภคในการเลือกซื้อจึงมีทั้งมือหนึ่ง และมือสอง  ในปัจจุบัน รถยนต์มีให้เลือกทั้งแบบน้ำมัน รถไฟฟ้า และแบบไฮบริด ทั้งรถมือหนึ่ง และรถมือสอง โดยผู้บริโภคสามารถเลือกให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ได้ตามต้องการ หลาย ๆ คนยังมีความคิดที่ว่ารถมือสอง อย่างไรก็เป็นรถที่ใช้แล้ว จะดีเท่ารถใหม่ได้อย่างไร แต่ในความจริงรถยนต์มือสองหลาย ๆ คันบางคันยังผ่านการใช้งานมาไม่มาก ไมล์น้อย สภาพดี เพียงแค่เรารู็วิธ๊ในการเลือก ดังนั้นเราจึงขอเทียบ ข้อดี – ข้อเสีย ระหว่างรถมือหนึ่ง และรถมือสอง เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น รถมือหนึ่ง หรือรถป้ายแดง ก็คือรถใหม่ ที่ผลิตจากโรงงานแล้วส่งตรงถึงมือผู้บริโภค อะไหล่ และวัสดุต่าง ๆ จึงเป็นของใหม่แกะกล่อง ข้อดี 1.ปัญหาค่อนข้างน้อย และมีประกันการซ่อมรถยนต์จากศูนย์บริการของผู้ผลิตรถยนต์ 2.สภาพรถใหม่ เครื่องยนต์ใหม่ ระบบการทำงานยังเต็มประสิทธิภาพอยู่ 3.อัตราดอกเบี้ยถูกกว่าการซื้อรถมือสอง 4.ระบบเทคโนโลยีทันสมัยกว่ารถมือสองในบางรุ่น 5.ทำประกันได้ทุกประเภท ข้อเสีย 1.ตัวรถยนต์ราคาสูง  2.ราคาค่าประกันรถยนต์สูง 3.ขายต่อราคาตกเร็วกว่ารถมือสอง

ครั้งหนึ่งในอดีตเมื่อเราเริ่มรู้จัก เริ่มคุ้นชินกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ใครหลายคนต่างจินตนาการถึงรถยนต์ในอนาคตว่า รูปร่าง หลักการทำงาน จะเป็นเช่นไร บ้างก็ว่าก็ต้องใช้ พลังงานไฟฟ้า มาทดแทนถึงจะเป็นคำตอบแห่งอนาคตที่แท้จริง เมื่อความมุ่งมั่นบวกกับความทะเยอทะยาน “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า” จึงถือกำเนิดขึ้นมา จากปัญหาที่เรื้อรั้งมานานนับสิบปีอย่าง “ปัญหามลภาวะทางอากาศที่เพิ่มขึ้น” หรือสภาพเศรษฐกิจที่เป็นแรงผลักดันให้เจ้าตลาดรถ เริ่มถีบตัวเองขึ้นมาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเหตุผลลึกซึ้งแค่ไหน บทบาทของรถยนต์ไฟฟ้าก็เริ่มบูมขึ้นมาเรื่อย ๆ อยู่ดี ปัจจุบันรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ รถไฮบริด (HEV หรือ Hybrid Electric Vehicle) รุ่นแรกที่เป็นลูกครึ่งระหว่างเครื่องยนต์น้ำมันและมอเตอร์ไฟฟ้า แต่ยังไม่สามารถเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟได้ โดยรุ่นนี้จะนำพลังงานกลที่ได้จากเครื่องยนต์ เก็บไว้ในเเบตเตอรี่ เพื่อจ่ายให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าต่อไป ทำให้มีอัตราการสิ้นเปลืองที่ต่ำกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว เช่น รถยนต์ Toyota Alphard และ Honda Stepwagon Spada เป็นต้น รถปลั๊กอินไฮบริด(PHEV หรือ Plug-in Hybrid Electric Vehicle) Generation นี้ถูกต่อยอดจากรุ่นแรก โดยจะเพิ่มระบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟขึ้นมา (#plugin ) ซึ่งรถยนต์จะสามารถวิ่งด้วยระบบไฟฟ้าได้ระยะทางมากกว่ารถแบบ Hybrid Electric Vehicle แต่ยังคงมีการทำงานร่วมกันระหว่างระบบน้ำมันและไฟฟ้าอยู่ เช่น รถยนต์ Porsche Cayenne

รถยนต์ความร้อนขึ้น หรือ เครื่องยนต์โอเวอร์ฮีท (Over Heat) หมายถึง เครื่องยนต์มีความร้อนเกินกว่าระดับการใช้งานปกติ ซึ่งจะเกิดจากความผิดปกติที่เกี่ยวกับระบบช่วยระบายความร้อนของรถยนต์ เมื่อเครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูง (เครื่องยนต์ร้อนจัด) จะทำให้ไม่สามารถรักษาอุณหภูมิในห้องเครื่องให้อยู่ในระดับปกติ ส่งผลให้เครื่องยนต์ร้อนจัดและเกิดเป็นควันพุ่งขึ้นมาได้ สาเหตุของเครื่องยนต์ความร้อนขึ้น ปิดฝาหม้อน้ำไม่สนิท หรือ ฝาเสื่อมสภาพ พัดลมหม้อน้ำทำงานผิดปกติ หรือ ไม่ทำงาน หม้อน้ำเกิดการรั่วซึม ในระบบหล่อเย็น สายพานปั้มน้ำขาด ปั้มน้ำชำรุด วาล์วน้ำไม่ทำงาน ท่อทางเดินน้ำชำรุด หรือ อุดตัน ลักษณะไหนถึงเรียกว่าความร้อนขึ้น ? รถยนต์ตามท้องตลาดทั่ว ๆ ไปจะมีการแสดงผลเรื่องความร้อนของเครื่องยนต์แตกต่างกันไป โดยจะแบ่งได้ 2 แบบดังนี้ แบบที่ 1  : มาตรวัดแบบเข็ม  โดยปกติแล้วตัวเข็มจะอยู่ที่กึ่งกลางระหว่างตัวอักษร C กับ H ซึ่งตัวอักษร C จะแทนคำว่า Cool  ส่วนตัวอักษร H จะแทนคำว่า Hot  หากพบว่าเข็มไปแตะที่ขีดสีแดง แสดงว่าอุณหภูมิของเครื่องยนต์สูงมากแบบผิดปกติ   อุณหภูมิของเครื่องยนต์เป็นปกติ อุณหภูมิของเครื่องยนต์สูงเกินปกติ แบบที่

 เลือกฟิล์มรถยนต์ ถือเป็นเรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องสำหรับผู้ใช้รถ อย่างที่เรารู้ ๆ กันอยู่แล้วว่าฟิล์มรถยนต์มีส่วนช่วยในการกรองแสงที่จะผ่านเข้าสู่รถยนต์ได้  ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอุณหภูมิสูงตลอดทั้งปี ทำให้การติดฟิล์มกรองแสงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้ใช้รถจำเป็นต้องติดไปโดยปริยาย ซึ่งตามท้องตลาดก็มีฟิล์มหลากหลายยี่ห้อและรุ่นให้เลือกซื้อมากมายตามความพึงพอใจของผู้ใช้งาน 3 ข้อแนะนำในการเลือกฟิล์มกรองแสง เพื่อไม่ให้โดนหลอก! การพิจารณาคุณภาพฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่ดี ควรได้รับเกณฑ์จากโรงงานที่ผลิตและได้รับมาตรฐานจาก AIMCAL (ASSOCIATION OF INDUSTRIAL METALLIZERS COATERS AND LAMINATORS), ASTM (AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS) และ ASHRAE ซึ่งฟิล์มกรองแสงที่ได้รับการรับรอง  จะเป็นส่วนช่วยการันตีถึงคุณภาพของฟิล์มนั้น ๆ เช่น % การช่วยลดความร้อน % การสะท้อนแสง และ % การช่วยลดรังสี แหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือผู้ใช้งานสามารถพิจารณาคุณภาพของฟิล์มกรองแสงได้ง่าย ๆ จากการดูแหล่งการรับรองการผลิตที่ชัดเจนและสามารถตรวจสอบได้ ฟิล์มที่มีคุณภาพส่วนมากจะเป็นไปตามมาตรฐานจาก ISO 9001 ซึ่งเป็นระบบควบคุมคุณภาพและการออกแบบที่ได้รับมาตรฐานสากล ราคาและการโฆษณาในปัจจุบันฟิล์มกรองแสงนั้นมีให้เลือกหลากหลายประเภท และยี่ห้อด้วยกัน ส่วนมากราคาของแต่ละยี่ห้อจะใกล้เคียงกัน (หากเทียบตามรุ่น) ซึ่งราคาฟิล์มที่ได้รับมาตรฐานต้องมีราคาที่สมเหตุสมผล และปราศจากการโฆษณาชวนเชื่อเกินความเป็นจริง ผู้ใช้งานควรยึดจากมาตรฐานที่กำหนดไว้ 

.docx ในยุคปัจจุบันนี้ เรามักจะเห็นรถยนต์จากค่ายต่าง ๆ หันมาผลิตรถแนว MPV มากขึ้น อันเนื่องมาจากการผสมผสานโครงสร้างตัวรถต่าง ๆ ให้มีความแปลกใหม่และทันสมัยมากขึ้น  รวมไปถึงการพัฒนาออกแบบรถยนต์เพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้รถของคนยุคนี้  การใช้รถยนต์ MPV ในเมืองไทยเองก็ยังได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเรื่อยมา เช่นเดียวกับรถยนต์จากฟากฝั่งแดนปลาดิบ อย่าง Toyota Alphard และ Honda Stepwagon Spada ถือยังเป็นรถยนต์ที่คนให้ความสนใจมากที่สุดในบรรดารถ MPV นำเข้า Toyota Alphard มีจุดเด่นอะไรบ้าง? Alphard มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ประเภทคือ เครื่องยนต์น้ำมันและเครื่องยนต์ Hybrid เบาะพิงศีรษะแบบมิกกี้เมาส์ เพื่อโอบศีรษะในระหว่างการเดินทาง (เบาะรุ่นนี้จะมีในรุ่นAlphard GF, SC และ SRC ) เบาะโดยสารเป็นระบบปรับไฟฟ้า ((เบาะรุ่นนี้จะมีในรุ่น Alphard GF, SC และ SRC  จอแขวน ขนาด 13 นิ้ว Honda Stepwagon

แบตเตอรี่รถยนต์คือ อุปกรณ์จ่ายกระแสไฟฟ้าและจัดเก็บแหล่งพลังงานไฟฟ้าของรถยนต์ มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มาก แบตเตอรี่รถยนต์ทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าเข้าไปยังอุปกรณ์ส่วนต่าง ๆ ของรถเช่น เครื่องยนต์ ระบบไฟส่องสว่างและระบบอื่น ๆ ที่ต้องการกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงเพื่อให้ทำงานได้ เช่น ระบบจุดระเบิด มอเตอร์สตาร์ท เป็นต้น  รวมไปถึงเป็นแหล่งเก็บพลังงานไฟฟ้าสำรองที่ได้รับจากการหมุนของไดร์ชาร์จนั้นเอง   ในกรณีที่แบตเตอรี่มีไฟฟ้าไม่เพียงพอก็ไม่สามารถสตาร์ทรถยนต์ให้ติดได้ สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่หมด แบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน ปกติแล้วอายุของแบตเตอรี่จะใช้ได้ประมาณ 3-5 ปี ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการใช้งานและสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย ไดร์ชาร์จทำงานผิดปกติ ทำให้ประจุไฟฟ้าที่จะเข้าไปยังแบตเตอรี่เข้าได้น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน 5 สัญญาณเตือนแบตเตอรี่ใกล้หมดสภาพ เครื่องยนต์เริ่มสตาร์ทติดช้าหรือติดยากขึ้น แสงไฟหน้ารถยนต์สว่างน้อยลง กระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง ระบบไฟฟ้าในรถทำงานผิดปกติ ใช้แบตเตอรี่มานานเกิน 2 ปี แบตเตอรี่รถยนต์มีกี่ประเภท? ประเภทที่ 1 แบตเตอรี่แบบแห้ง (Sealed Maintenance Free) หรือ SMF  แบตเตอรี่แบบแห้ง เป็นแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน หรือสังเกตง่าย ๆ คือไม่มีรูสำหรับเติมน้ำกลั่นเลย ภายในของแบตเตอรี่ตัวนี้ไม่ได้แห้งเหมือนชื่อ แต่ภายในถูกบรรจุด้วยของเหลวสำหรับทำปฏิกิริยานั้นเอง แบตเตอรี่แบบนี้มีการเติมน้ำกรดและชาร์จไฟมาให้เรียบร้อยจากโรงงาน ข้อดีของแบตเตอรี่แห้ง ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน สะดวก ดูแลรักษาง่าย